Erawan Tea Room

467

Erawan Tea Room

วัฒนธรรมการทาน Afternoon Tea เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยปี 1840 โดยท่านหญิงอันนาตระกูล Bedford สหราชอาณาจักรค่ะ โดยใครที่คุ้นเคยกับการรับประทาน Afternoon Tea ไม่ว่าจะจากประเทศไหนก็ตาม จะต้องมีอาหารคาว และอาหารหวาน เป็นแบบชิ้นเล็กๆ เพื่อรองท้องก่อนถึงอาหารค่ำ สมัยนี้เราทานกันเป็นอาหารเที่ยงกันได้เลยค่ะ ที่ไต้หวันที่เราเคยไปลองทานมา โรงแรมต่างๆ จะมีการจัดวาง ทำขนมสวยงามออกมาเป็น Afternoon Tea ผสมผสานกับวัฒนธรรมของไต้หวัน ส่วนของประเทศไทย หากคุณกำลังมองหา Afternoon Tea แบบไทยๆ ที่ Erawan Tea Room สามารถตอบโจทย์คุณได้

Erawan Tea Room
บริเวณด้านหน้าทางเขาค่ะ ที่นี่ตั้งอยู่ชั้น 3 โซน Plaza ของโรงแรม Erawan ค่ะ เดินมาจากรถไฟฟ้าง่าย แนะนำให้มาจาก รถไฟฟ้าชิดลมค่ะ ใกล้สุด
Erawan Tea Room
มีโปรโมท Afternoon Tea อยู่ราา 600 บาทเท่านั้นค่ะ
Erawan Tea Room
มีจำหน่ายชาอยู่ด้านหน้าด้วยนะคะ สำหรับใครที่รักชา สามารถลองหาซื้อไปชิมดูได้ค่ะ
การตกแต่งสไตลไทยๆ ด้านในร้านคุมโทนสีเอิร์นโทน ใช้สีแดง น้ำตาล เหลืองๆ
บริเวณที่นั่งด้านใน
มองออกไปจากมุมมอง ที่นั่งที่ติดกับกระจก
เพราะมีแขกต่างชาติค่อนข้างเยอะ เลยมีนิตยสารด้านการท่องเที่ยวต่างประเทศเอาไว้คอยบริการลูกค้าค่ะ
ชาลิ้นจี่รสชาติดี

ก่อนที่เราจะทาน Afternoon Tea เรามาลองอาหารคาวกันก่อนค่ะ มาดูกันว่าอาหารคาวของที่นี่มีอะไรบ้าง

เมนูฉู่ฉี่กุ้ง รสชาติดีค่ะ เหมาะกับการสั่งให้เพื่อนชาวต่างชาติลองชิมดู
ข้าวผัดสับปะรด อันนี้ก้อร่อยค่ะ จานนี้มาเสิร์พแรกๆ เลย เหมือนโดนตัดกำังยังไงไม่รู้ T T
อาหารเรียกน้ำย่อยมาเป็นเรือมังกรน่ารักแบบนี้เลยค่ะ
ด้านในเรือนี้ มียำส้มโอ ช่อม่วง กระทงทองเมี่ยงคำ
ผัดผักวันนี้รสชาติออกไปทางเค็มเล็กน้อยค่ะ แต่โดยรวมยังรับรสชาติของผักหวานๆ ได้ค่ะ
ในนี้มีอาหารเพิ่มเติมมาอีก 2 อย่าง นั่นคือ – แกงคั่วใบชะพลูเนื้อปู ซึ่งหาานค่อนข้างยากภายในเมืองหลวง มาพร้อมกับเส้นหมี่อัญชัญ – ต้มข่าปลาเทราซ์ ตอนแรกคิดว่าต้มข่าไก่ส่วนผสมลงตัวที่สุดแล้ว แต่พอนำปลาเทราซ์มาผสมผสานกับแกงข่ารสชาติกะทิเข้มข้นแบบนี้ ต้องบอกว่าเป็นจานติดดาวจริงๆ ต้องสั่งค่ะ ห้ามพลาด !!

ต้องบอกว่าทานไปเราก็เอะใจกับเมนูของทางร้านที่มีสัญลักษณ์แปลกๆ เข้ามาค่ะ โดยทางโรงแรมเล่าให้ฟังว่าบางเมนูนั้น โดยเมนูที่เป็นซีฟู๊ตของทางร้าน ได้เลือกอาหารทะเลจากการประมงอย่างยั่งยืน ของมูลนิธิสายใยแผ่นดิน ซึ่งเป็นอาหารที่ปลอดสารเคมีค่ะ เราเลยมีเรื่องโม้เมาท์มอยกับเพื่อนชาวไต้หวันของเราได้เลยล่ะว่า มีอะไรให้ทานบ้าง เนื้อเรื่องของวัตถุดิบเป็นมาอย่างไร

สำหรับอาหารกลางวัน และอาหารเย็นมีอะไรพิเศษๆ สำหรับใครที่สนใจนะคะ สามารถติดตามภาพเคลื่อนไหวต่อได้ในวีดีโอค่ะ

Afternoon Tea
และแล้วพระเอกของมื้อนี้ก็มาค่ะ เซ็ตน้ำชายามบ่าย Afternoon Tea

ในส่วนของชุดน้ำชายามบ่าย Afternoon Tea หรือบางที่เรียกว่า High Tea ของห้องอาหาร Erawan Tea Room มี 3 ชั้นด้วยกันค่ะ

ชั้นแรก จะเป็นขนมคาวค่ะ เป็นขนมไทยชิ้นเล็กๆ นะคะ โดยมีสาคูไส้ปู ม้าฮ่อ ห่อหมกคำเล็กๆ ห่อหมก ปอเปี๊ยะ คีช
ชั้นที่ 2 เริ่มเป็นขนมหวานค่ะ ข้าวเหนียวมะม่วง ทาร์ตช็อกโกแลต ขนมครก ฌรลชาเขียวถั่วแดง ขนมเบื้อง ทั้งชั้นนี้อร่อยค่ะ
ชั้นบนสุดค่ะ มีกล้วยทับ วาฟเฟิลช็อกโกแลต ขนมกลีบลำดวน สีสันน่ารัก

 

นอกเหนือจากเมนูน้ำชายามบ่ายแล้วนั้นในเซ็ต 600 บาท ยังสามารถเลือกน้ำชาต่างๆ ได้ โดยมีน้ำสมุนไพรที่น่าสนใจอย่าง ชาดอกอัญชัน ชามะตูมผสมใบเตย ชาลิ้นจี่ และชาตะไคร้ เป็นต้นค่ะ แต่เราสั่งชานมนะ แฮะๆ

มื้อกลางวันของเราอิ่มอร่อยมาก จนทานมื้อเย็นไม่ไหวกันเลยทีเดียว ทั้งอาหารคาวมื้อกลางวัน และชุดเซ็ตน้ำชา สำหรับใครที่สนใจ ห้องอาหารเอราวัณ ทีรูม เปิดบริการน้ำชายามบ่ายทุกวันเลยค่ะ 14:30-18:30 น. ค่ะ ในราคา 600 บาทสุทธิ / ท่าน
สามารถแบ่งกันทานได้ต่อ 1 เซ็ต แต่ต้องเสียค่าน้ำแยกสำหรับส่วนต่างค่ะ (คุ้มนะเราว่า)
เราแนะนำให้โทรไปจองที่นั่งก่อนค่ะ โดยเฉพาะหากมาพร้อมแขกต่างประเทศ โดยโทรจองที่ 0 2254 6250
อีเมล์ restaurants.bangh@hyatt.com

Google Map ไปตามกันได้เลยค่ะ มีสรุปเรื่องห้องอาหารแห่งนี้ให้ด้านล่างค่ะ

ถ้าเราสรุปให้ว่าทำไมถึงต้องมาลอง ชุดน้ำชายามบ่ายที่นี่ คงได้มาเป็นข้อๆ แบบนี้ค่ะ

– อยู่ใจกลางเมืองเดินทางง่าย ไม่ต้องมีรถยนตร์ส่วนตัวก็สามารถแวะมาลองทานได้
– ราคาไม่แพง ถ้าเปรียบเทียบกับแบรนด์ Erawan 5 ดาว
– เหมาะกับการมาถ่ายภาพให้อารมณ์แบบไทยๆ เพราะร้านตกแต่งสไตล์ไทยๆ
– นอกเหนือจากการทานน้ำชายามบ่าย ยังมีอาหารบริการอีกด้วย เหมาะสำหรับใครที่นัดลูกค้าชาวต่างชาติ หรือเพื่อนต่างชาติมาลิ้มลองอาหารไทย
– เมนูของว่างและชุดน้ำชายามบ่าย (Afternoon Tea หรือ High Tea) ของห้องอาหารเอราวัณ ที รูม ได้รับเลือกให้เป็น หนึ่งในสุดยอดเมนูของว่างและชุดน้ำชายามบ่าย ที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best High Teas)       จากการคัดเลือกของนิตยสาร Lonely Planet ภาคภาษาอังกฤษ